The longest train ride in my life : From Beijing to Venice

The prequel :ปฐมบทของการเดินทาง

เราจะนั่งรถไฟไปยุโรป !!  
หลายคนที่ได้ยินประโยคนี้ ก็อาจจะเกิดความสงสัยว่า ไปได้ด้วยเหรอ ไปยังไง ต้องใช้เวลานานกี่วันกัน
บางคนก็อาจจะพอทราบ หรือแม้แต่มีความฝันที่จะเดินทางด้วยรถไฟสายที่ยาวที่สุดในโลกนี้เช่นกัน แต่จะมีใครซักกี่คนที่มีโอกาสได้ทำความฝันให้เป็นจริง เนื่องจากข้อจำกัดด้านเวลา การเงิน  และข้อสำคัญที่สุดคือ ความกล้า ที่จะออกเดินทาง แค่ 3 ข้อแรก ก็ลำบากแล้ว ไหนจะต้องหาเพื่อนร่วมเดินทางที่พร้อมจะผจญภัยไปพร้อมกันเป็นเวลาอย่างน้อยสองสัปดาห์อีก  ก็ทำให้การเดินทางด้วยรถไฟไปยุโรป ยังคงเป็นแค่ทริปในฝันของหลายๆคน รวมทั้งเราด้วยต่อไป

แต่แล้ววันหนึ่ง  ได้คุยกับเพื่อนคนหนึ่ง ที่กำลังจะเรียนจบ และต้องการเดินทางไปเที่ยวยุโรปเป็นครั้งแรกกับแฟนที่กำลังจะลาออกจากงานมาทำอาชีพอิสระ  โดยไม่จำกัดเวลา ...เอาละสิ โอกาสของเรามาถึงแล้วววว ... เราจึงอาสาเป็นผู้วางแผนเดินทาง และเป็นไกด์จำเป็นให้เพื่อนทันที  การออกผจญภัยจากเอเชียไปยุโรปด้วยรถไฟครั้งนี้จึงถือกำเนิดขึ้น

เราเริ่มวางแผนการเที่ยวครั้งนี้ ด้วยการนั่งเครื่องบินไปลงที่ปักกิ่ง จากนั้นจะนั่งรถไฟต่อไปเรื่อยๆ จากปักกิ่ง -> มองโกเลีย-> รัสเซีย -> ฟินแลนด์ -> เอสโตเนีย -> ลัตเวีย -> ลิทัวเนีย -> โปแลนด์ -> สาธารณรัฐเชค -> ออสเตรีย -> สโลวีเนีย -> สโลวาเกีย -> ฮังการี -> อิตาลี  รวมทั้งหมด 14 ประเทศ 47 วัน
โดยเราจะเดินทางไปพร้อมเพื่อน ถึงแค่โปแลนด์ จากนั้น เพื่อนจะแยกไปเที่ยวยุโรปฝั่งตะวันตก ส่วนเราก็จะผจญภัยคนเดียวต่อไปในยุโรปตะวันออก อีกประมาณ 2 สัปดาห์  

เราเริ่มวางแผน ด้วยการเลือกช่วงเวลาที่จะเดินทาง เรารักการเดินทางเที่ยวยุโรปในฤดูร้อน คือ ประมาณเดือนมิถุนายน -กรกฏาคม เนื่องจากการแพคกระเป๋าทำได้ง่าย เบา ไม่ต้องหอบเสื้อโคทตัวใหญ่ๆไปให้หนัก พิพิธภัณฑ์ สถานที่ท่องเที่ยวต่างๆก็เปิดให้เข้าชมหมด กลางวันยาวนาน มืดช้า ทำให้มีเวลาเที่ยวกันได้อย่างเต็มที่และปลอดภัย  รถเรือ การเดินทางก็ง่าย และมีตารางเดินรถที่ค่อนข้างถี่กว่าหน้าหนาว  แต่ก็ต้องแลกมากับการที่ตั๋วรถไฟ ตั๋วรถบัส รวมทั้งที่พัก จะมีราคาแพง และเต็มเร็วมาก

เมื่อเลือกช่วงเวลาที่จะเดินทางได้แล้ว ประชากรประเทศกำลังพัฒนาแบบเราก็ต้องไปขอวีซ่ากัน  ความเก๋มันอยู่ตรงที่ คนไทย ไม่ต้องขอวีซ่าเข้ารัสเซียและมองโกเลีย เป็นที่ประหลาดใจกับเพื่อนๆที่เราพบเจอระหว่างทางเป็นอย่างยิ่ง  โดยเฉพาะชาวอเมริกันหรือยุโรป ที่การขอวีซ่ารัสเซีย เป็นเรื่องโหดหินสำหรับเขา ดังนั้น การเดินทางครั้งนี้ เราจึงต้องขอแค่วีซ่าจีน และเชงเก้นเท่านั้น

แต่ก่อนจะไปขอวีซ่า เราจะต้องทำแผนท่องเที่ยวก่อน รวมทั้งจองตั๋วเครื่องบิน และที่พัก ตั๋วรถไฟ เพื่อเอาไปยื่นขอพิจารณาวีซ่าด้วย (แต่ยังไม่ต้องจ่ายเงินนะ เผื่อวีซ่าไม่ผ่าน)

หลายคนอาจจะสงสัยว่า จองตั๋วเครื่องบินอย่างไร จึงไม่ต้องจ่ายเงิน จริงแล้วเราสามารถทำได้หลายวิธี
วิธีแรกคือติดต่อ agency ขายตั๋วเครื่องบิน ว่าเราขอจองตั๋วในวันเวลาที่เราจะเดินทาง แต่เราจะขอใบจอง เพื่อจะไปยื่นขอวีซ่าก่อน agency ส่วนใหญ่จะเข้าใจดี และจะทำใบจอง หรือใบ itinerary มาให้ฟรี (แต่บางแห่งก็คิดค่าบริการประมาณ 100 บาท) โดยตั๋วที่เราจองนี้มักจะมีกำหนดออกตั๋วประมาณ 1-2 สัปดาห์ หากเราไม่มาชำระเงินและยืนยันการจองภายในระยะเวลาที่กำหนด ตั๋วนี้ก็จะถูกยกเลิกไปโดยอัตโนมัติ  

แต่ปัจจุบันนี้ สถานทูตหลายแห่ง ก็ต้องการใบจองจากสายการบินโดยตรง เราก็สามารถเข้าไปจองได้ที่เว็บไซต์ของสายการบินที่เราต้องการ โดยอาจจะกดพิมพ์หน้าเว็บไซต์ ที่ระบุชื่อ นามสกุล เวลาเดินทาง และเที่ยวบินของเรา ก่อนที่จะไปถึงหน้าชำระเงิน หรือบางสายการบิน จะให้เราเลือกวิธีชำระเงิน ให้เราเลือกวิธีชำระเงินด้วยการไปชำระที่ธนาคาร หรือสำนักงานของสายการบินนั้นๆ โดยส่วนใหญจะกำหนดให้ชำระเงินภายใน 48 ชั่วโมง หากเราไม่ไปชำระเงินตามเวลานั้น ตั๋วก็จะถูกยกเลิกไปเช่นกัน เราก็ค่อยมาจองใหม่กันอีกที (แต่ราคาอาจจะเพิ่มขึ้น)

ที่พักประจำของมนุษย์แบคแพคเกอร์แบบเรา  ก็จะเน้นเป็นโฮสเทลราคาประหยัด ทำเลดี มีครัวและอินเตอร์เน็ตให้ใช้ฟรี โดยเราเป็นแฟนประจำของ  www.booking.com ซึ่งมีมีค่าบริการในการจอง และมักจะมี free cancellation เสมอ
อีกเว็บไซต์ที่เราใช้บริการตลอด คือ  www.hostelbookers.com นั่นเอง เนื่องจาก เราสังเกตว่า เว็บนี้ มักจะมีโฮสเทลที่ราคาถูกกว่าใน booking.com เสมอ แต่ข้อเสียคือ แม้จะไม่มีค่าบริการ แต่ว่าจะหักค่ามัดจำ 10% ทันทีเมื่อเรายืนยันการจอง ถ้าเรายกเลิกการจอง เราก็ต้องเสียมัดจำนั้นไปฟรีๆ (เหมาะสำหรับคนที่ไม่คิดว่าจะเปลี่ยนแปลงแผนการเดินทางอีกแล้ว)

เมื่อจองที่พัก ตั๋วเครื่องบินแล้ว คราวนี้ก็มาจองตั๋วรถไฟกันดีกว่า (ยังไม่ต้องจ่ายเงินเช่นกัน)
จริงๆแล้ว เราสามารถซื้อตั๋วรถไฟไปเรื่อยๆระหว่างเดินทางได้ ข้อดีคือ  จะยืดหยุ่นแผนเดินทางได้  และไม่ต้องเสียค่าบริการของ agency  แต่เนื่องจากเราจะเดินทางในฤดูร้อน  ซึ่งเป็น high season เราจึงไม่อยากเสี่ยงกับการไม่มีตั๋ว ซึ่งจะทำให้แผนการเดินทางของเรารวนไปหมด โดยเฉพาะรถไฟบางขบวน ที่มีแค่ 1 ขบวน/1 สัปดาห์ ถ้าพลาดขบวนนี้ ก็จะต้องแกร่วอยู่ในเมืองนั้นอีก 1 สัปดาห์แน่ะ เราจึงจองตั๋วไปเลยดีกว่า เพื่อความมั่นใจ

ครั้งนี้เราจองตั๋วกับ agency ของประเทศอังกฤษ ที่ https://trains.realrussia.co.uk/transsib/  บริการดี เชื่อถือได้ และมีพนักงานคอยช่วยเหลือ หากเรามีคำถาม วิธีการจองก็แสนจะง่าย เพียงแค่กรอกเมืองต้นทาง เมืองปลายทาง รวมทั้งเมืองและจำนวนวันที่เราจะแวะพักระหว่างทาง เว็บไซต์ก็จะแจ้งว่า จะมีรถไฟขบวนใดให้เราเลือกเดินทางได้บ้าง หลังกดยืนยันการเดินทางแล้ว พนักงานจะส่งเมล์มาเพื่อยืนยันการจอง และแจ้งวิธีการชำระเงิน หลังจากชำระเงินเรียบร้อย เราจะได้รับ e-ticket ที่พิมพ์ไปใช้ขึ้นรถไฟได้เลย หรือบางขบวนที่ใช้  e-ticket ไม่ได้ เราก็จะต้องเอาใบ reservation ไปออกตั๋วที่
agency ในประเทศนั้นๆอีกที ดังนั้น อย่าลืมอ่านเงื่อนไขตั๋วดีๆนะ

เมื่อเอกสารพร้อมทุกอย่าง เราก็ไปยื่นขอวีซ่ากัน  สำหรับวีซ่าจีนนั้น เราไม่จำเป็นต้องไปทำเอง เพียงแค่เตรียมเอกสาร แล้วฝากบริษัททัวร์ หรือเพื่อนที่เดินทางด้วยกันไปทำแทนได้ แต่วีซ่าเชงเก้นนั้น ต้องไปทำเอง เพราะว่าจะต้องมีการเก็บข้อมูล biometric พวกลายนิ้วมือด้วยนั่นเอง
หลักการขอวีซ่าเชงเก้น คือให้ขอจากประเทศที่เราจะพำนักอยู่นานที่สุด ในกรณีที่พักนานเท่าๆกันหมดทุกประเทศ จึงจะขอจากประเทศที่เราเดินทางเข้าเป็นประเทศแรก ในกรณีนี้ เราจึงเลือกขอจากประเทศฟินแลนด์ที่เราเดินทางเข้าเป็นประเทศแรก

การขอวีซ่าจากประเทศฟินแลนด์ ไม่ยาก แต่ตรวจเอกสารค่อนข้างละเอียด สามารถทำได้จากที่ VFS (โดยเสียค่าบริการเพิ่ม) หรือจะไปทำที่สถานทูตแบบเรา (ไม่เสียค่าบริการเพิ่ม แต่ต้องจองคิว เพราะรับคำร้องจำนวนจำกัด เฉพาะวันอังคารและพฤหัสบดีเท่านั้น) ดูรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์  http://www.finland.or.th/ และhttp://www.vfsglobal.com/Finland/Thailand/Thai/how_to_apply.html

เอาล่ะ วีซ่าพร้อม ตั๋วพร้อม ที่พักพร้อม เราก็มาจัดกระเป๋า และแลกเงินกัน
การแลกเงิน เราควรแลกเงินหยวน รูเบิล และยูโรไปก่อน  สำหรับเงินสกุลทุกรุก ของประเทศมองโกเลีย เราอาจจะแลกไปก่อนจากไทย หรือเอาเงินหยวนที่เหลือจากจีน หรือ US dollar ที่มีอยู่ไปแลกที่ประเทศมองโกเลียเมื่อเดินทางไปถึงก็ได้
ส่วนการจัดกระเป๋านั้น เราจะต้องเช็คสภาพอากาศก่อนว่าช่วงที่เราเดินทางนั้นอากาศเป็นอย่างไร แต่สิ่งสำคัญที่เพิ่มเติมมาจากทริปอื่นๆ ก็คือ
1.       ทิชชู่เปียก เอาไว้ใช้ในห้องน้ำบนรถไฟ
2.       หนังสือ ไพ่ เกมส์ หรือกิจกรรมต่างๆที่จะทำแก้เบื่อบนรถไฟ
3.       Power bank เนื่องจากรถไฟบางขบวน ไม่มี power outlet ให้เราใช้
4.       บนรถไฟจะมีน้ำร้อนบริการฟรีตลอด 24 ชม. ดังนั้นอย่าลืมเตรียมแก้ว หรือถ้วย เผื่อจะชงชา โกโก้ มาม่าไว้รับประทานระหว่างทาน

เมื่อเตรียมตัวเดินทางกันพร้อมแล้ว เราจะเริ่มต้นทริปในฝันนี้ที่ประเทศจีนกันในตอนหน้า ….






ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม