The beginning of the train journey : Beijing "Land of chaos"
ในที่สุดก็ถึงเวลาออกเดินทาง เราขึ้นเครื่องบินของสายการบิน China southern airline จากกระบี่ไปยัง Shenzhen จากนั้นจึงจะต่อเครื่องไปยังปักกิ่งอีกทีนึง โดยจะนัดเจอกับเพื่อนอีกสองคนที่บินมาจากการบินไทยที่นั่น ซึ่งนับว่าเป็นความมั่นหน้าของพวกเราเป็นอย่างมาก ที่คิดว่าการหากันในสนามบินหลักของประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก โดยที่ไม่มีโทรศัพท์ และอินเตอร์เน็ต มันจะเป็นเรื่องง่ายๆ หึๆ เด๋วก็รู้
เครื่องบินของสายการบิน china southern airline ก็ค่อนข้างโอเค ไม่มีอะไรแย่ แถมเที่ยวบินเที่ยวนั้นยังว่าง เราจึงได้นอนยาวสามที่นั่ง หลับเต็มที่เลย สนามบินของเมือง Shenzhen ก็กว้างใหญ่ สะอาด มีอินเตอร์เน็ตให้เล่นเป็นบางพื้นที่ แต่ความโหดมาบังเกิดขึ้นเมื่อเราเดินทางมาถึงสนามบินปักกิ่ง เดินไปถามเจ้าหน้าที่สนามบินถึงเที่ยวบิน TG เราจึงได้ค้นพบว่า domestic flight ของเรานั้น ลงจอดที่คนละ terminal กับ TG ซึ่งเป็น international flight ของเพื่อน ตอนนั้นยังคงมั่นอยู่ค่ะ “โอ๊ย ขำๆ คงจะอยู่แค่คนละตึกใกล้ๆกันนั่นแหละ” อย่ากระนั้นเลย เราจึงไปลงทะเบียนใช้เน็ตของ terminal ของเรา (ใช้ passport ในการลงทะเบียน ที่เครื่องอัตโนมัติ) แล้วส่งไลน์บอกเพื่อนว่า มาถึงแล้วนะ ให้รออยู่ตรงนั้น เดี๋ยวจะไปหา รอซักพัก เพื่อนไม่ตอบ คงไม่มีเน็ต เราเลยขึ้นรถ shuttle bus ไปหาเพื่อนที่ terminal ของ international flight …แต่ปรากฏว่า โอ้โห !! เชื่อแล้วค่ะว่าประเทศพี่กว้างใหญ่จริงๆ ขนาดแค่ 2 terminal ในสนามบิน พี่ยังใช้เวลาขับรถนานเกือบ 20 นาที เรานั่งรถไปก็ลุ้นไปว่า เอ..งานนี้ท่าทางจะไม่หมูซะแล้วนะเนี่ย สนามบินนี้มันกว้างใหญ่ขนาดไหนกันเนี่ย

(สนามบินเมือง Shenzen)
เมื่อไปถึง terminal ของเพื่อน ก็พบว่า “มัน ใหญ่ มาก” อารมณ์คล้ายสุวรรณภูมิบ้านเรา (ในขณะที่ domestic terminal นั้นก็เล็กๆ ประมาณดอนเมือง) เอาละสิ เดินหาเน็ตดีกว่า เดินไปที่ information counter …..โอ๊ะ ขอบคุณเพื่อนที่มี common sense ในการเลือกที่นั่งรอ ….แต่เราก็หาาาาา กันจนเจออออ… ชั้นเห็นแกแล้ววววว..แต่เอ๊ะ ทำไมนั่งอยู่คนเดียว หรืออีกคนจะไปเข้าห้องน้ำ ? เมื่อเดินเข้าไปทัก เพื่อนปลื้มปริ่มน้ำตาแทบไหล พร้อมแจ้งข่าวร้ายว่า รอแป๊บนึง เพื่อนอีกคน เพิ่งตัดสินใจขึ้นรถ shuttle bus เพื่อไปหาเราที่อีก terminal !! เจี๊ยก กว่าจะไป กว่าจะกลับ ก็คงอีก 40 นาทีสินะ หึๆ ก็นั่งรอกันต่อไป แต่ก็ภูมิใจนิดๆนะว่า เฮ้ยยยย เราก็หากันเจอจนได้นะเนี่ย เก่งจริงๆ ฮ่าๆ
เมื่อหนุ่มหล่อที่สุดในแก๊งค์(เพราะมีผู้ชายคนเดียว) กลับมา เราจึงได้ฤกษ์เดินทางไปยังที่พัก เราเลือกที่จะพักที่ Beijing Hutong Inn ห้อง triple room ที่ราคาไม่แพง และเป็นห้องส่วนตัว Location ก็ถือว่าใช้ได้ คืออยู่ใกล้สถานีรถไฟใต้ดิน บริเวณใกล้เคียงก็มีร้านอาหาร แมคโดนัลด์ ซุปเปอร์มาร์เก็ต แล้วเราก็พักผ่อน เพื่อเก็บแรงในการเดินทางท่องเที่ยววันพรุ่งนี้ต่อไป
วันรุ่งขึ้น การผจญภัยในเมืองจีนของเรา ก็เริ่มขึ้นเมื่อเราตัดสินใจที่จะเดินทางไปกำแพงเมืองจีนโดยรถบัส เท่าที่หาข้อมูลมาล่วงหน้านั้น เราจะต้องเดินทางไปยัง Deshengmen tower gate เพื่อขึ้นรถบัสสาย 919 เพื่อไปยังด่าน Badaling ยอดฮิต เมื่อเดินไปถึงจุดจอดรถ ก็ได้พบกับมวลมหาประชาชนมากมาย โดยเฉพาะตรงแถวที่จะขึ้นรถ 919 แต่เราก็มิได้ท้อถอย เดินไปเพื่อสอบถามและซื้อตั๋ว แต่กลับได้คำตอบมาว่า ไปสาย 919 ไม่ได้ เค้าไปไปด่าน Badaling แล้ว ต้องไปสาย 877 แทน …ตอนนั้นเราก็งงว่า เอ๊ะ แต่หาข้อมูลมา ใครๆก็บอกว่าไป 919 ได้นะ แถมคิวยังยาวเหยียด เราเชื่อว่าคนเหล่านี้ต้องไปกำแพงเมืองจีนชัวร์ เราก็ไม่ยอมเชื่อ ไปต่อคิวกับเค้าด้วย เมื่อถึงคิว เราพยายามจะขึ้นไปบนรถ โดยจะจ่ายเงินสดกับคนขับรถแล้วตีเนียนๆไปเฉยๆ (เนื่องจากช่องขายตั๋วเค้าไม่ยอมขายตั๋วให้) แต่คนขับ ก็ดันถามอะไรไม่รู้เป็นภาษาจีน ซึ่งเราตอบไม่ได้ แต่เราก็พยายามบอกว่าเราจะไป Badaling เค้าก็ไล่พวกเราลงจากรถทันที …เฮ้ย !! งงอ๊ะ ! เกิดอะไรขึ้น ลองถามคนจีนที่ต่อคิวดู ก็ไม่มีใครพูดอังกฤษได้ ลองมั่วขึ้นไป 2-3 รอบ เค้าก็ไล่เราลงทุกรอบ เราสามคนจึงตัดสินใจกันว่า วันนี้ ถอยไปตั้งหลักก่อนดีกว่า หาข้อมูลก่อนว่า 877 ไปถึง Badaling จริงหรือไม่ แล้วค่อยกลับมาใหม่พรุ่งนี้
ดังนั้นเราจึงเปลี่ยนแผนไปเที่ยวพระราชวังต้องห้าม และจัตุรัสเทียนอันเหมินกันแทน โดยนั่ง Subway มาลงที่สถานี Tiananmen Xi, Tiananmen Dong หรือ Qianmen
ก่อนจะเข้าไปยังเขตพระราชวังต้องห้ามนั้น มีทหารตรวจ scan กระเป๋ากันค่อนข้างละเอียดทีเดียว ถ้าเดินตัวเปล่า พกแค่กล้อง จะสะดวกมาก ภายในก็คนเยอะตามคาด แต่ก็เพลิดเพลินดี แย่งกันดู แย่งกันถ่ายรูป เป็นที่สนุกสนาน ฮ่าๆ
ก่อนจะเข้าไปยังเขตพระราชวังต้องห้ามนั้น มีทหารตรวจ scan กระเป๋ากันค่อนข้างละเอียดทีเดียว ถ้าเดินตัวเปล่า พกแค่กล้อง จะสะดวกมาก ภายในก็คนเยอะตามคาด แต่ก็เพลิดเพลินดี แย่งกันดู แย่งกันถ่ายรูป เป็นที่สนุกสนาน ฮ่าๆ

(อนุสาวรีย์ และพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ ในบริเวณจัตุรัสเทียนอันเหมิน)
ราเที่ยวชมที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน และพระราชวังต้องห้ามกันจนบ่ายแก่ๆ จากนั้นเราจึงไปเที่ยวกันต่อที่สนามกีฬารังนก โดยนั่ง subway มาลงที่สถานี Olympic sport center (ถ้ามาตอนกลางคืน จะได้ดูไฟสวยกว่านี้)

(เทคนิคการถ่ายแบบ หน้าเบลอหลังชัด เนื่องจากเค้าเน้นสนามกีฬา ไม่ใช่นางแบบค่ะ อิอิ)
หลังจากนั้น ก่อนกลับที่พัก เราก็ไปเอาตั๋วรถไฟที่จะใช้เดินทางจากปักกิ่งไปมองโกเลีย ที่นั่นมีเจ้าหน้าที่ที่พูดภาษาอังกฤษได้คล่อง พวกเราจึงถามเค้าถึงวิธีการไปกำแพงเมืองจีนด่าน Badaling ก็ได้รับการยืนยันว่า ควรที่จะไปรถบัสสาย 919 เนื่องจากเป็นสายที่วิ่งตรง และเร็วที่สุด ในขณะที่สาย 877 จะจอดหลายป้าย และใช้เวลานานกว่ามาก และเราอาจจะงง ลงไม่ถูกป้ายได้ เราจึงฟ้องไปว่า เราพยายามขึ้นสาย 919 แล้ว แต่เค้าไม่ให้เราขึ้น เจ้าหน้าที่ก็งงว่าทำไมถึงไม่ให้ขึ้น และยังยืนยันว่า สาย 919 นั่นแหละ ถูกแล้ว !!
.
.
จากนั้นวันรุ่งขึ้น เราก็ยังคงไม่ยอมแพ้ เดินทางออกแต่เช้า เพื่อไปกำแพงเมืองจีนกันอีกรอบ วันนี้ สถานการณ์ดูจะแย่กว่าเดิม เนื่องจากมีฝนตกปรอยๆอีกด้วย นอกจากจะมีคนเยอะแล้ว ยังจะมีแม่ค้าขายร่ม ขายเสื้อกันฝนตะโกนขายกันให้วุ่นวาย
เราก็เดินกันอย่างมั่นใจ ไปต่อคิวสาย 919 และโดนไล่ออกมาตั้งแต่ยังไม่ขึ้นไปบนรถ (งงอ่ะว่าเค้ารู้ได้ไงว่าเราไม่ใช่คนจีน) ..ทันใดนั้น เราก็เหลือบไปเห็นคุณแม่ฝรั่งท่านหนึ่ง พร้อมลูกชาย ลูกสาว คุณยาย กระเป๋าเดินทางใบโตอีกหนึ่งใบ เราคิดว่า ครอบครัวนี้จะต้องไปเที่ยวกำแพงเมืองจีนแน่ๆ จึงเข้าไปชวนคุย คุณแม่ชาวอเมริกันท่านนี้ ก็ยืนยันกับเราว่า ที่เค้าหาข้อมูลมา ก็บอกให้ขึ้นสาย 919 เหมือนกัน เดี๋ยวเราจะไปด้วยกัน “Stick with me and we will get on this bus !!” ขุ่นแม่ขยิบตายืนยันด้วยความมั่นใจ ขุ่นลูกอย่างเราก็มั่นใจไปด้วย
เมื่อรถสาย 919 มาถึง คนที่ไวสุดคือ คุณยายค่า !!!! คุณยายอาศัยช่วงชุลมุน ผลุบขึ้นไปนั่งแป้นแล้นบนรถเรียบร้อยโรงเรียนจีน พวกเราก็เกาะหลังขุ่นแม่อย่างใกล้ชิด (ชิดยิ่งกว่าลูกแท้ๆเค้าอีก พูดเลย) ปรากฏว่า เมื่อขุ่นแม่ก้าวขึ้นบนรถ แน่นอน..ขุ่นแม่ผมทองตาฟ้า หน้าคอเคเชี่ยน คุณพี่คนขับรถและกระเป๋ารถก็จับได้และไล่ลงทันที ขุ่นแม่ยังคงพยายามแทรกตัวเข้าไป พร้อมทั้งบอกว่า “คุณยายขึ้นไปบนรถแล้ว เธอจะไล่ชั้นลงได้อย่างไร เรามาด้วยกันนะ” …..โอเคจ้า มาด้วยกัน ก็ลงไปด้วยกันเลย แทนที่พี่กระเป๋า จะให้เราขึ้นรถตามคุณยายไป นางกลับไปลากตัวคุณยายมาจากที่นั่ง และไล่ลงไปพร้อมกัน ….โอ้โห สุดยอดมาก พี่ยอมแพ้
ในที่สุด เรา 7 คนจาก 2 ประเทศ มายืนงงกันอยู่ด้านล่าง พร้อมกับที่รถสาย 919 เคลื่อนตัวออกไป (ทั้งคันมีแต่คนจีน) เราถามคุณแม่ว่า คุณแม่จะเอาไงต่อไปคะ คุณแม่บอกว่า ไม่รู้สิ อาจจะขึ้นรถตู้มั้ง เพราะว่ามีกระเป๋าใบใหญ่ คงไม่สะดวกจะไปขึ้นรถไฟอีก เราจึงกล่าวขอบคุณคุณแม่ และตัดสินใจว่า งั้นเราไปกำแพงเมืองจีนด้วยรถไฟกันเถอะ
อย่านะ อย่าแม้แต่จะคิดว่าการขึ้นรถไฟ มันจะชิลๆสบายๆต่างกับรถบัส …เปล่าเลยค่า (ความมหัศจรรย์ของกำแพงเมืองจีน มันเริ่มต้นตั้งแต่จะเริ่มเดินทางไปเลยรึเปล่าเนี่ย !!) พอไปถึงสถานีรถไฟ ก็ได้พบว่า ช่องที่ขายตั๋วรถไฟขบวนไป Badaling นั้น เปิดขายเป็นช่วงเวลา และตั๋วช่วงเช้าขายหมดแล้ว ต้องรอช่วงบ่าย จึงจะเปิดขายอีกที แต่คิวน่ะ ยาวประมาณ 10 เมตรแล้ว เรา 3 คน จึงคุยกันว่า “ควรพอหรือรอต่อไป?” …เพื่อนบอกว่า ถ้าจะไป ก็ต้องไปวันนี้ ถ้ารอพรุ่งนี้ จะไม่ไปแล้ว เหนื่อยและเพลียมากแล้วกะ Badaling พรุ่งนี้ขอพักไปที่อื่นบ้าง เราจึงสลับกันเข้าแถว และไปหาอะไรกินที่ห้างใกล้ๆ เมื่อใกล้ถึงเวลาขายตั๋ว การเบียดแทรกและแซงคิวก็เกิดขึ้น เบียดกันได้เบียดกันดี มาจากไหนไม่รู้ก็มาเบียด แต่ในที่สุด เราก็ได้ตั๋วมาสามใบ เย้ !!! ในที่สุด !!!!
เมื่อได้ตั๋วแล้ว เราก็ยังต้องไปรอที่ชานชาลา ซึ่งก็ยังคงต้องต่อคิว และมีประตูรั้ว พร้อมเจ้าหน้าที่หน้าโหดยืนกั้น เราก็รู้สึกว่ามันแปลกดีนะ ปกติสถานีรถไฟที่อื่น ก็ไม่ต้องกั้นรั้วกันขนาดนี้ ….แต่เชื่อไหม ขนาดว่ามีรั้วกั้นนะ คุณพี่ๆทั้งหลาย ก็ยังคงจะเบียด ดัน และแทรกตัวเข้ามา จนงงว่า จะดันมา มันก็ไปไม่ได้ป่ะ เค้ากั้นรั้วอยู่ แล้วคุณจะดันมาทำไม
แต่ที่ Amazing กว่านั้นคือ เมื่อรถไฟมา การดันก็เพิ่มความรุนแรงมากขึ้น และเมื่อเจ้าหน้าที่เปิดประตูรั้วออก ประชาชนจีนทั้งหลาย ก็พร้อมใจกัน วิ่ง วิ่ง วิ่ง !! ไปยังรถไฟ จนเราสามคน(รวมทั้งฝรั่งหลายคน) ก็เกิดอุปทานหมู่ จนต้องวิ่งไปกับเค้าด้วย จนวิ่งไปซักพัก ก็เริ่มงงตัวเองว่า วิ่งทำไมฟระเนี่ย รถไฟก็ไม่ได้จะรีบออกไปไหน เราก็เลยเดินไปขำไป พร้อมทั้งดูอาม่า อาโกวทั้งหลายที่วิ่งแซงหน้าเราไปเพื่อจะรีบไปจับจองที่นั่งบนรถไฟ
แน่นอน เราไม่มีที่นั่งหรอกค่ะ เราจึงต้องยืน สลับกับนั่งพื้นไปตลอดทาง ประมาณเกือบ 2 ชม. จนถึงด่าน Badaling (ระหว่างทาง แอบมองไปบนถนน ชั้นเห็นนะ ! ว่ารถสาย 919 มันก็มาด่าน Badaling แล้วทำไมเค้าถึงไม่ให้เราขึ้นอ๊ะ ยังไม่เข้าใจจนบัดนี้)
เมื่อไปถึง Badaling เราก็ซื้อตั๋ว แล้วขึ้นไปเที่ยวกำแพงกัน กำแพงก็ยิ่งใหญ่ดี ค่อนข้างชันและลื่น แต่ที่น่ากลัวกว่าคือคนจีนที่พยายามแทรกตัวมาหามุมถ่ายรูป บางทีถึงขั้นเบียดจนเราแทบลื่นล้มยังมี
และเหมือนจิ๋นซีฮ่องเต้จะเกลียดเรา เดินได้ซัก 40 นาที ฝนก็ตกลงมา ตอนแรกตกปรอยๆ ก็ยังพอไหว ซักพักเริ่มตกหนักขึ้นแฮะ และกำแพงเมืองจีนมีข้อห้ามไม่ให้นักท่องเที่ยวอยู่บนกำแพงยามฝนตกหนัก เนื่องจากมีความเสี่ยงที่จะโดนฟ้าผ่าสูงมาก ….เอาล่ะสิคะ คราวนี้ บรรดานักท่องเที่ยวทั้งหลาย ก็พยายามจะวิ่งลงจากกำแพง นึกสภาพกำแพงที่สูง ชัน ลื่น พร้อมคนมากมายแย่งกันวิ่งลง ….โอ้โห ชั้นเกือบจะต้องเอาชีวิตมาสังเวยที่นี่แล้วจริงๆ ในที่สุด เราก็เปียกปอนเป็นลุกหมาตกน้ำ กลับมาต่อคิว (แบบไม่มีคิว) เพื่อขึ้นรถไฟกลับ ….แน่นอนค่ะ เบียดกันแทบตายตามเดิม
ยังค่ะ ความโชคร้ายไม่ได้จบง่ายๆแค่นั้น ระหว่างทาง เราก็นั่งบนพื้นรถไฟตามเดิม พร้อมนักท่องเที่ยวอีกมากมาย เรียกว่า บนรถไฟนั้นแทบไม่มีที่เดินกันเลยล่ะ เมื่อมาถึงครึ่งทาง อยู่ดีๆรถไฟก็มาหยุดกึ๊ก พร้อมเสียงประกาศเป็นภาษาจีน (ที่มีคนจีนข้างๆแปลให้) ว่า เนื่องจากฝนตกหนัก ทำให้ทางรถไฟขัดข้อง อาจจะต้องเสียเวลาแก้ไขโดยไม่ทราบว่าจะเสร็จเมื่อไร …..เฮือกกกก !!
อย่ากระนั้นเลย ประชาชนชาวจีนทั้งหลายจึงเริ่มหาอะไรทำยามว่าง ด้วยการ ..ซื้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปจากเจ้าหน้าที่ประจำตู้รถไฟ นั่งกินกันอย่างสนุกสนาน กินเสร็จก็ทิ้งถ้วยกองซ้อนๆกันไว้ จนกองถ้วยล้ม น้ำบะหมี่ไหลนองเต็มพื้น (–“) ในที่สุด เราก็ถึงสถานีรถไฟปักกิ่งตอน 2 ทุ่ม (แทนที่จะเป็น 6 โมงเย็น) พร้อมกับสภาพรถไฟที่พูดได้คำเดียวว่า “ดูไม่จืด” จากกองถ้วยบะหมี่มากมาย เศษถุงขนม กระดาษหนังสือพิมพ์รองนั่ง เห็นแล้วสงสารเจ้าหน้าที่ทำความสะอาดมาก เราเองก็แทบสลบ เป็นวันที่เหนื่อยมากๆ
สิ่งมหัศจรรย์ของโลกนี่มันมหัศจรรย์จริงๆ !!











ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น